ย้อนกลับไป 20 ปีก่อน ใครจะไปคิดว่า 'ตลาดทุนไทย' อาจเดินมาถึงวันที่กลายเป็น ‘ตลาดร้าง’ ไร้เสน่ห์ ไม่มีใครสนใจ และนักลงทุนเบือนหน้าหนี
เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการความคุ้มค่ากับ 'ไต้หวัน' ที่ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวไทยไปเยือนเกือบ 4 แสนคน
สรุปเนื้อหาจากงาน Digital Sales Strategy Planning for B2B โดย Pipedrive by Movider ซึ่งภายในงานยังมีจัดเวิร์กชอปให้ทุกคนได้นำ Framwork ไปวางกลยุทธ์ต่างๆ ตามโจทย์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้จริง
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกด้วยอัตราการเติบโตที่เหลือเชื่อ ไม่น่าเชื่อว่าแม้ในช่วงที่โลกพบเจอกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ แต่จีนก็สามารถบีบให้การเติบโตของ GDP ไม่ต่ำกว่า 6-7% แต่ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้แต่พญามังกรปีกแข็งอย่างจีน เจอคลื่นพายุเศรษฐกิจซัดกระหน่ำหลายลูกขนาดนี้ก็มีเซบ้าง ดังนั้น มีหรือที่ผู้นำสูงสุดอย่างสี จิ้นผิง ที่ครองบัลลังก์มานานกว่า 12 ปีจะยอมให้ KPI ตัวเองตกได้แม้แต่ปีเดียว วิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจจีนฉบับถูกดันออกมาในการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 3 ซึ่งทั่วโลกจับตามอง เพราะนี่คือพิมพ์เขียวที่จีนจะใช้นำทางเศรษฐกิจของประเทศไปอีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 10 ปี เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการรับมือกับความท้าทายภายในประเทศ วิสัยทัศน์เศรษฐกิจใหม่ของจีนมีเป้าหมายหลัก 4 ข้อ 1. การมุ่งเน้นนวัตกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง 2. เพิ่มจำนวนประชากรและการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ 3. การเปิดเสรีตลาดและการลงทุน 4. การปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ทั้ง 4 ข้อนี้เป็นหมุดหมายใหม่ที่สำคัญ ที่ สี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีนต้องการทำและไปให้ถึง เพราะจากที่เราเห็นที่ผ่านมาจะพบว่าเศรษฐกิจจีนโตแบบทุลักทุเลมาก ด้วยปัจจัยที่มากระทบทั่ง การบังคับใช้นโยบายปราบปรามโควิดแบบเข้มงวดเกินไป การเข้าไปแทรกแซงภาคเอกชนจนนักลงทุนต่างชาติขยาดไม่กล้าเข้าลงทุน อีกทั้งไหนจะเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ก็ได้ระเบิดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังไม่นับรวมเรื่องกำลังซื้อของประชาชนชาวจีนหดหายไปอย่างน่าใจหาย รวมไปถึงเรื่องสงครามการค้ากับชาติตะวันตก อันก่อให้เกิดการคว่ำบาตรทางเทคโนโลยีที่ยากจะควบคุม ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง …